
ปัจจุบันต้นทุนในการผลิตสินค้ามีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี ในขณะที่ศักยภาพในการแข่งขันในการทำกำไรมีแนวโน้มลดลง จากปัจจัยที่หลากหลายที่มีผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นเช่น ค่าแรงที่สูงขึ้น ค่าขนส่ง ราคาเครื่องจักร ค่าดูแลรักษา และต้นทุนด้านพลังงาน ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นมีผลต่อการทำกำไร เพียงแต่เราจะบริหารจัดการปัจจัยที่เป็นต้นทุนให้ลดต่ำลงเพื่อเพิ่มกำไรในสินค้าโดยไม่มีผลกระทบต่อการผลิตสินค้าได้อย่างไร หนึ่งในปัจจัยข้างต้นดังกล่าวคือต้นทุนด้านพลังงาน
ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป หรืออุตสาหกรรมที่จะต้องมีกระบวนการในการแช่เยือกแข็งสินค้าด้วยระบบ Air Blast Freezer โดยส่วนใหญ่จะใช้พลังงานไฟฟ้ามากในกระบวนการนี้ ดังนั้นถ้าเราบริหารจัดการกระบวนการในการแช่เยือกแข็งได้ดีก็จะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานได้มาก ในเนื้อหาบทความนี้จะกล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อเวลาในการแช่เยือกแข็งสินค้าในระบบ Air Blast Freezer และเวลาที่เหมาะสมในการแช่เยือกแข็งสินค้าดังกล่าว
อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็ง (Freezing Rate)
อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งที่เกิดขึ้นในสินค้าอาศัยหลักการถ่ายเทความร้อนโดยวิธีการนำความร้อน(Conduction Heat Transfer) ณ ตำแหน่งต่างๆภายในสินค้าโดยมีองค์ประกอบคือ
- ที่แกนกลางของสินค้าจะเกิดการเยือกแข็งช้ากว่า (Slower freezing) ที่ผิวของสินค้า
- กลไกลหรือกระบวนการในการแช่เยือกแข็งอาจจะแตกต่างกันตามชนิดและประเภทการแช่เยือกแข็งเช่น Air Blast Freezer , Contact Freezer หรือ Cryogenic เป็นต้น
- การเกิดน้ำแข็งที่ผิวภายในสินค้าอาจจะเกิดกระจายไป ณ ตำแหน่งที่ต่างๆกันได้
- อุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างสินค้ากับตัวกลางซึ่งส่งผลต่อเวลา
อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งมักจะเกิดจากพื้นผิวภายนอกก่อน (Initial) และถ่ายเทความร้อนส่งผ่านไปยังภายใน (Partially frozen) จนถึงแกนกลางจนกลายเป็นการเยือกแข็งที่สมบูรณ์ (Fully frozen) ดังแสดงในรูปที่ 1
รูปที่1 แสดงการเกิดน้ำแข็งจากพื้นผิวภายนอกเข้าสู่ภายใน
อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งของอาหารสามารถแบ่งได้ออกเป็นชนิดต่างๆ ขึ้นกับประเภท และชนิดของเครื่องจักรดังแสดงในตารางที่1
ตารางที่1 : แสดงอัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งเมื่อเทียบกับ ประเภท และชนิดของเครื่องจักร
อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็ง (Freezing Rate) |
ประเภท (Typical) |
ชนิดของเครื่องจักร
(Machinery) |
2 – 5 mm/hr. | ช้า (Slow) | Contact Freezer |
5 – 30 mm/hr. | เร็ว (Quick) | Air Blast Freezer |
50 – 100 mm/hr. | รวดเร็ว (Rapid) | IQF , Fluidized Bed |
100 – 1000 mm/hr. | รวดเร็วพิเศษ (Ultra-Rapid) | Cryogenic |
ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราเร็วในการแช่เยือกแข็ง
- คุณลักษณะของสินค้า (Characteristics of the products : สินค้าที่ทำการแช่เยือกแข็งมีคุณลักษณะที่มีส่วนประกอบหรือสารประกอบภายในที่แตกต่างกัน เช่นสินค้าบางชนิดมีปริมาณน้ำในตัวสินค้าสูง หรือบางชนิดมีสารอาหารแร่ธาตุในปริมาณที่สูงแตกต่างกัน เช่น โซเดียม โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น หรือสินค้าบางชนิดมีไขมันในตัวสูง สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทั้งมวลข้างต้นล้วนเป็นปัจจัยต่ออัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งของสินค้าทั้งสิ้น
- ค่าการนำความร้อน (Thermal Conductivity) : ค่าการนำความร้อนเป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญต่ออัตราเร็วในการแช่เยือกแข็ง เนื่องจากได้กล่าวไว้แต่ข้างต้นว่า อัตราเร็วในการแช่เยือกแข็งอาศัยหลักการถ่ายเทความร้อนแบบการนำความร้อน (Conduction Heat Transfer) ดังนั้นหากค่าการนำความร้อนไม่ดีสินค้านั้นอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าปกติ
- อุณหภูมิที่แตกต่าง (Temperature Difference) : อุณหภูมิที่แตกต่างของตัวสินค้าและตัวกลาง (อากาศ) มีผลอย่างมากต่อเวลาในการแช่เยือกแข็งเพราะถ้าอุณหภูมิของอากาศซึ่งเป็นตัวกลางต่ำมากๆ ไหลผ่านตัวสินค้าย่อมจะทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนที่ดี ส่งผลให้อุณหภูมิของสินค้าเย็นตัวลงได้รวดเร็ว
- ความเร็วลม (Air Velocity) : เนื่องจากเราใช้อากาศเป็นตัวกลางในการส่งผ่านความเย็น ดังนั้นความเร็วของอากาศที่เหมาะสมย่อมส่งผลต่ออัตราเร็วในการแช่เยือกแข็ง เพราะลมดังกล่าวจะแลกเปลี่ยนความร้อนกับสินค้าที่ผิวได้ดี ทำให้สินค้าเย็นตัวลง
- ขนาดความหนาของสินค้า (Product thickness) : ขนาด รูปร่าง ความหนาของสินค้าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากความเย็นเกิดขึ้นที่ผิวของสินค้าและส่งผ่านโดยการนำเข้าสู่แกนกลางของสินค้า ซึ่งหากสินค้ามีความหนาที่มากย่อมส่งผลต่อระยะเวลาในการแช่เยือกแข็งที่นานขึ้น
- การสัมผัสกันระหว่างตัวสินค้าและตัวกลาง (Contact between product and medium) : ในบางครั้งก็จะเรียกว่า ผลกระทบของความเป็นฉนวนของบรรจุภัณฑ์ (Insulating effects) กรณีสินค้าที่จะทำการแช่เยือกแข็งจะถูกบรรจุในบรรจุภัณฑ์ ตัวอย่างเช่นพลาสติก ซึ่งจะส่งผลต่อค่าการถ่ายเทความร้อนเพราะพลาสติกเป็นฉนวน และหากพลาสติกมีความหนา ย่อมจะทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการแช่เยือกแข็ง ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยดังกล่าวด้วย
- อุณหภูมิสินค้าเริ่มต้น (Initial product temperature) : อุณหภูมิสินค้าเริ่มต้นเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการแช่เยือกแข็ง เพราะถ้าอุณหภูมิสินค้าเริ่มต้นดังกล่าวมีค่าสูง ทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการแช่เยือกแข็ง ในทางกลับกันถ้าอุณหภูมิสินค้าเริ่มต้นมีค่าต่ำ (แต่จะต้องสูงกว่าจุดเยือกแข็งของสินค้าชนิดนั้นๆ) ย่อมจะใช้เวลาในการแช่เยือกแข็งเร็วขึ้น
คุณสมบัติต่างๆที่เป็นปัจจัยสำคัญภายในสินค้าสำหรับการแช่เยือกแข็ง
คุณสมบัติที่เป็นตัวแปรและเป็นปัจจัยสำคัญของสินค้าแต่ละชนิดที่แตกต่างกันย่อมส่งผลต่อระยะเวลาในการแช่เยือกแข็ง คุณสมบัติดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้
- ความหนาแน่น (Density) : ความหนาแน่นเป็นปัจจัยที่สำคัญเพราะหากสินค้าที่จะทำการแช่เยือกแข็งมีความหนาแน่นสูงจะส่งผลต่อเวลาที่ใช้ในการแช่เยือกแข็งที่นานขึ้น
- ค่าการนำความร้อน (Thermal conductivity) : ค่าการนำความร้อนของสินค้าจะส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการแช่เยือกแข็งเพราะถ้าค่าการนำความร้อนของสินค้ามีค่าสูงจะทำให้ใช้ระยะเวลาในการแช่เยือกแข็งสั้นลง
- ค่าความจุความร้อน (Specific heat) : ค่าความจุความร้อนของสินค้าแต่ละชนิดมีค่าแตกต่างกัน ค่าความจุความร้อนที่มากจะทำให้ใช้ระยะเวลาในการแช่เยือกแข็งนานขึ้น ตารางที่2แสดงคุณสมบัติองค์ประกอบภายใน
ตารางที่2 : แสดงองค์ประกอบภายในของสินค้า
สินค้า
(Product) |
% น้ำภายใน | อุณหภูมิเยือกแข็ง
(Tf , oC) |
Cp , above
(kJ/kg oC ) |
Cp, below
(kJ/kg oC ) |
Latent heat
(kJ/kg) |
แอ๊ปเปิล | 84.1 | -2 | 3.6 | 1.88 | 281 |
กล้วย | 74.8 | -2.2 | 3.35 | 2.05 | 251 |
องุ่น | 81.9 | -2.5 | 3.6 | 1.84 | 270 |
แครอท | 88.2 | -1.3 | 3.77 | 1.93 | 293 |
ชีส | 37.5 | -2.2 | 2.09 | 1.3 | 126 |
นม | 87.5 | -0.56 | 3.89 | 2.05 | 288 |
กุ้ง | 70.8 | -2.2 | 3.48 | 1.88 | 277 |
ผักกาดหอม | 94.8 | -0.44 | 4.02 | 2.01 | 316 |
เนื้อวัว | 68.0 | -1.67 | 3.22 | 1.67 | 133 |
ไก่ | 74.0 | -2.8 | 3.31 | 1.55 | 247 |
มะเขือเทศ | 94.1 | -0.89 | 3.98 | 2.14 | 312 |
จากตารางที่2 จะเห็นได้ว่าสินค้าแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบภายในทั้งปริมาณน้ำ จุดเยือกแข็ง และค่าความจุความร้อนที่แตกต่างกัน ซึ่งจากองค์ประกอบดังกล่าวส่งผลต่อระยะเวลาในการแช่เยือกแข็ง สำหรับกระบวนการแช่เยือกแข็งช่วงเวลาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ
- ช่วงที่1 (Stage 1) เป็นช่วงเวลาที่ลดอุณหภูมิของสินค้าลงมาก่อนถึงจุดเยือกแข็งของสินค้านั้นๆ ช่วงนี้จะใช้ค่าความจุความร้อนที่สูงกว่าจุดเยือกแข็ง (Cp, above) มาคำนวณหาค่าพลังงานความร้อน
- ช่วงที่2 (Stage 2) เป็นช่วงเวลา ณ อุณหภูมิจุดเยือกแข็งของของเหลวในเซลเปลี่ยนสภานะจากของเหลวเป็นของแข็ง (L, Latent Energy)
- ช่วงที่3 (Stage 3) เป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิของสินค้าลดต่ำลงกว่าจุดเยือกแข็ง ช่วงนี้จะใช้ค่าความจุความร้อนที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (Cp, below) มาคำนวณหาค่าพลังงานความร้อน
รูปที่ 2 แสดงช่วงเวลาต่างๆของสถานะของการแช่เยือกแข็งที่เกิดขึ้นในสินค้า
การคำนวณเวลาในการแช่เยือกแข็ง (Freezing Time Calculation)
เวลาที่ใช้ในการแช่เยือกแข็งมีความสำคัณเป็นอย่างมากเพราะถ้าเราสามารถใช้เวลาที่น้อยที่สุดในการแช่เยือกแข็งได้นั่นหมายถึงเราจะประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้จำนวณมาก เนื่องจากพลังงานที่ใช้ในการแช่เยือกแข็งค่อนข้างจะกินไฟอยู่มาก และกระบวนการแช่เยือกแข็งเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตสินค้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้สินค้าสามารถคงสภาพและเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน
การคำนวณหาค่าเวลาที่ใช้ในการแช่เยือกแข็งของสินค้านั้นๆ ทางเลือกมีอยู่ 3 ทางเลือกคือ
- การอ้างอิงข้อมูลของสินค้าจากเอกสารที่เคยมีผู้ทดสอบมาแล้ว
- ทำการทดสอบข้อมูลของสินค้าโดยตรง ด้วยตัวเอง
- ใช้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อทำนายผลที่เกิดขึ้น
ในเนื้อหาบทความนี้จะกล่าวถึงการใช้สมการทางคณิตศาสตร์ในการทำนายเวลาที่ใช้ในการแช่เยือกแข็ง โดยจะใช้สมการทางคณิตศาสตร์ดังต่อไปนี้
- สมการ Plank (Plank’s Equation)
- สมการ Nagaoka (Nagaoka’s Equation)
- สมการ Levy (Levy’s Equation)
- สมการ Cleland and Earle (Cleland and Earle‘s Equation)
เนื้อหา รายละเอียด การวิเคราะห์ และการคำนวณหาเวลาในการแช่เยือกแข็งที่เหมาะสม จะกล่าวถึงในฉบับถัดไป (โปรดติดตาม)
Subscribe to our newsletter
Subscribe to our weekly newsletter to get update to your inbox!